หลายคนคิดว่าเมื่อไม่ได้เรียนมาก่อนเลย การ เรียนภาษาอังกฤษ ไม่มีพื้นฐานเลย ภายในเวลา 3 เดือนให้ “พูดได้จริง” เป็นเรื่องเกินเอื้อม แต่ความจริงแล้วหากวางเป้าหมายชัดเจน เลือกเนื้อหาที่จำเป็น และฝึกพูดอย่างมีระบบทุกวัน ก็สามารถสื่อสารเรื่องง่าย ๆ ในชีวิตประจำวันได้ แม้จะเริ่มจากศูนย์ก็ตาม บทความนี้จะพาไปดูแผน 90 วันที่ทำตามได้จริง สำหรับผู้เริ่มต้นที่อยากสื่อสารภาษาอังกฤษได้อย่างมั่นใจ เน้นฝึกพูดมากกว่าท่องแกรมมาร์ ใช้ประโยคสำเร็จรูปที่ใช้ได้ทันที ควบคู่กับเทคนิคฝึกฟัง–พูดด้วยตัวเอง และตัวอย่างการเรียนตัวต่อตัวกับครูต่างชาติออนไลน์ รวมถึงตัวอย่างกรณีศึกษาจริงของผู้เรียนที่ไม่มีพื้นฐาน แต่สามารถพูดสนทนาระดับง่ายได้ภายในระยะเวลาสั้น ๆ
ไม่มีพื้นฐานเลย ก็เริ่มพูดภาษาอังกฤษใน 3 เดือนได้อย่างไร
ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า “พูดได้ใน 3 เดือน” ไม่ได้หมายถึงพูดได้เหมือนเจ้าของภาษา แต่หมายถึงระดับที่สามารถทักทาย แนะนำตัว สั่งอาหาร ถาม–ตอบคำถามง่าย ๆ และสื่อสารเรื่องพื้นฐานของชีวิตประจำวันได้อย่างไม่เกร็งมากนัก จุดสำคัญคือการวางแผนให้เน้น “พูด–ฟัง” มากกว่าอ่าน–เขียนในช่วงแรก
รายงานดัชนีความสามารถภาษาอังกฤษของผู้ใหญ่ระบุว่า คะแนนภาษาอังกฤษโดยรวมของไทยอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ และจัดอยู่ในกลุ่ม “ความสามารถต่ำมาก” จากการจัดอันดับนานาชาติ ข้อมูลนี้ไม่ได้มีไว้ให้รู้สึกแย่ แต่เป็นสัญญาณว่าหากมีแผนที่ชัดเจน และฝึกอย่างสม่ำเสมอ คุณจะได้เปรียบคนส่วนใหญ่อย่างมาก
จากคำแนะนำของ Cambridge English โดยเฉลี่ยผู้เรียนต้องใช้เวลาประมาณ 200 ชั่วโมงในการขยับขึ้นหนึ่งระดับ CEFR แต่หากโฟกัสเฉพาะทักษะพูด–ฟัง และใช้สถานการณ์จริงช่วยฝึก ระยะเวลา 3 เดือนที่ฝึกทุกวันวันละ 45–60 นาที เพียงพอที่จะขยับจากระดับเกือบศูนย์ไปสู่ระดับพื้นฐานที่สื่อสารได้จริงในหัวข้อที่คุ้นเคย

ตั้งเป้าหมายให้ชัด: 3 เดือนควรพูดได้ระดับไหน
ระดับภาษาอังกฤษที่เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นใน 3 เดือน
หากใช้กรอบอ้างอิง CEFR เป้าหมายที่เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มเรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่ศูนย์ ภายใน 3 เดือนคือระดับ A1–ต้น ๆ ของ A2 ซึ่งโดยทั่วไปแล้วผู้เรียนจะสามารถ
- ใช้คำทักทายและประโยคพื้นฐาน เช่น แนะนำตัวเอง ถามชื่อ อายุ งานอดิเรก
- ถาม–ตอบเกี่ยวกับข้อมูลส่วนตัวง่าย ๆ เช่น เบอร์โทร อาชีพ เมืองที่อยู่
- เข้าใจประโยคสั้น ๆ ที่ใช้ในชีวิตประจำวันเมื่อพูดช้าและชัด
- ใช้ประโยคสำเร็จรูปเพื่อขอความช่วยเหลือหรือถามข้อมูล
ดังนั้น เป้าหมายของการเรียนภาษาอังกฤษสำหรับผู้เริ่มต้นใน 3 เดือน คือการสร้าง “ฐานคำศัพท์และประโยคยอดนิยม” ที่ใช้จริงบ่อย ๆ มากกว่าการรู้คำศัพท์ยากหรือกฎไวยากรณ์ละเอียด
แบ่งเป้าหมายรายเดือนให้ชัดเจน
- เดือนที่ 1: คุ้นเคยกับเสียงภาษาอังกฤษ ตัวอักษร สระ พยัญชนะ และประโยคทักทาย–แนะนำตัว ฝึกฟัง–พูดวันละ 30–45 นาที เน้นวลีสำเร็จรูป เช่น How are you?, Nice to meet you, I’m from…
- เดือนที่ 2: เพิ่มคำศัพท์เกี่ยวกับชีวิตประจำวัน เช่น งาน อาหาร กิจวัตรประจำวัน การเดินทาง ฝึกเล่า “หนึ่งวันของฉัน” ด้วยประโยคง่าย ๆ ต่อกัน 4–5 ประโยค ใช้การเลียนเสียง (shadowing) และบันทึกเสียงตัวเอง
- เดือนที่ 3: ฝึกสนทนาจริงให้มากที่สุด ทั้งการพูดกับเพื่อนเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ตัวต่อตัวกับครูต่างชาติ หรือใช้แพลตฟอร์มเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ เน้นความลื่นไหลมากกว่าความถูกต้องสมบูรณ์
เมื่อเป้าหมายรายเดือนชัด การ เรียนภาษาอังกฤษสำหรับผู้เริ่มต้น จะไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอีกต่อไป เพราะรู้ว่าแต่ละช่วงต้องโฟกัสอะไร
แผนฝึกพูด 90 วันสำหรับผู้ที่เรียนภาษาอังกฤษ ไม่มีพื้นฐานเลย
โครงสร้างการฝึกประจำวัน (ใช้เวลา 45–60 นาที)
- 10 นาทีแรก: ทบทวนคำศัพท์และวลีจากเมื่อวานด้วยแฟลชการ์ด หรือแอปจดคำศัพท์
- 15 นาที: ฟังคลิปสั้น ๆ ระดับผู้เริ่มต้น แล้วพูดตาม (shadowing) ทีละประโยค
- 15 นาที: ฝึกพูดหน้าเช่นกระจกหรืออัดเสียง เล่าเรื่องสั้น ๆ เช่น วันนี้ทำอะไร รู้สึกอย่างไร ใช้ประโยคง่าย ๆ ที่เตรียมไว้
- 5–10 นาทีสุดท้าย: จดวลีใหม่ที่ชอบ และลองประยุกต์ใช้ในประโยคของตัวเอง
ถ้าหากมีเวลามากกว่านี้ สามารถเพิ่มช่วงฝึกพูดแบบตัวต่อตัวกับครูผ่านออนไลน์สัปดาห์ละ 2–3 ครั้ง เพื่อให้ได้ฝึกภาษาอังกฤษในสถานการณ์จริง
ตัวอย่างตารางฝึก 1 สัปดาห์สำหรับผู้เริ่มต้น
| วัน | หัวข้อหลัก | กิจกรรมฝึกพูด |
|---|---|---|
| จันทร์ | ทักทาย & แนะนำตัว | ฝึกพูดชื่อ อายุ งานอดิเรก และ Where are you from? |
| อังคาร | ตัวเลข เวลา | ฝึกถาม–ตอบเวลา นัดหมายง่าย ๆ เช่น What time…? |
| พุธ | ครอบครัว & เพื่อน | เล่าโครงสร้างครอบครัวและเพื่อนสนิทด้วยประโยคง่าย ๆ |
| พฤหัสบดี | หนึ่งวันของฉัน | เล่าตารางชีวิตประจำวัน เช่น I get up at…, I go to work… |
| ศุกร์ | อาหาร & ร้านอาหาร | ฝึกสั่งอาหาร ถามเมนู ราคา ขอเช็กบิล |
| เสาร์ | การเดินทาง | ซ้อมถามทาง เรียกแท็กซี่ จองที่พัก |
| อาทิตย์ | สรุป & ทบทวน | สรุปวลีที่ใช้บ่อยของสัปดาห์ และอัดเสียงเล่าเรื่องรวม |
ตารางลักษณะนี้ช่วยให้การเรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่ศูนย์มีโครงสร้างชัด และค่อย ๆ เพิ่มระดับความยากโดยไม่รู้สึกว่าหนักเกินไป

เทคนิคสำคัญที่ช่วยให้กล้าพูดเร็วขึ้น
- ใช้วลี ไม่ใช้คำเดี่ยว: แทนที่จะจำคำว่า hungry เพียงคำเดียว ให้จำเป็นวลี I’m hungry., Are you hungry? จะนำไปใช้ได้ง่ายกว่า
- เน้นประโยคยอดฮิต 50–100 ประโยคแรก: เช่น How are you?, Can you say that again?, I don’t understand. ประโยคพวกนี้ใช้ได้แทบทุกสถานการณ์
- ฝึกเงาเสียง (shadowing): ฟังเจ้าของภาษาในคลิปสั้น ๆ แล้วพูดตามทันที เน้นจังหวะ น้ำเสียงมากกว่าการแปลความหมายทีละคำ
- อัดเสียงตัวเองบ่อย ๆ: ฟังย้อนดูการออกเสียงของตัวเอง แล้วจดว่าติดขัดตรงไหน ทำให้เห็นพัฒนาการชัดเจนมากใน 3 เดือน
เปรียบเทียบวิธีเรียน: เรียนเอง วิดีโอฟรี หรือเรียนตัวต่อตัวออนไลน์
เมื่อเริ่มเรียนภาษาอังกฤษ ไม่มีพื้นฐานเลย หลายคนสับสนว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหนดี ระหว่างเรียนเองจากคลิปฟรี คอร์สกลุ่ม หรือเรียนตัวต่อตัวแบบออนไลน์ ตารางด้านล่างเป็นการเปรียบเทียบแบบเข้าใจง่าย
| วิธีเรียน | ข้อดี | ข้อควรระวัง | เหมาะกับใคร |
|---|---|---|---|
| เรียนเองจากคลิปฟรี / ยูทูบ | ไม่เสียค่าใช้จ่าย เลือกดูตามเวลาว่างได้ | ไม่มีคนตรวจการออกเสียง ง่ายต่อการเรียนแบบไม่เป็นระบบ | คนที่มีวินัยสูง และพอมีพื้นฐานอยู่บ้าง |
| คอร์สกลุ่มทั่วไป | มีโครงสร้างบทเรียน ช่วยสร้างแรงจูงใจจากเพื่อนร่วมคลาส | เวลาฝึกพูดต่อคนค่อนข้างน้อย เน้นฟังมากกว่าพูด | คนที่อยากมีเพื่อนเรียนไปด้วยกัน |
| เรียนตัวต่อตัวกับครูต่างชาติออนไลน์ | ได้พูดตลอดคาบ ครูปรับบทเรียนให้ตรงระดับของผู้เรียน | ต้องเลือกแพลตฟอร์มที่เชื่อถือได้ และครูมีใบรับรอง | ผู้เริ่มต้นที่อยากกล้าพูดเร็ว และมีเป้าหมายชัดเจนใน 3 เดือน |
| เรียนตัวต่อตัวกับครูต่างชาติผ่าน 51Talk Thailand | ครูต่างชาติจำนวนมากมีประกาศนียบัตร TESOL ผ่านการคัดเลือกและอบรมมาตรฐานสากล สามารถสอนแบบโต้ตอบให้ผู้เรียนได้ใช้ภาษาอังกฤษจริงตลอดคาบ | ควรเลือกระดับบทเรียนให้สอดคล้องกับเป้าหมายของตนเอง | ผู้เริ่มต้นทุกระดับที่ต้องการความก้าวหน้าแบบเห็นผล |
ทำไมครูที่มี TESOL ถึงสำคัญสำหรับผู้ไม่มีพื้นฐาน
TESOL เป็นประกาศนียบัตรรับรองว่า ครูมีความรู้ด้านการสอนภาษาอังกฤษให้ผู้เรียนต่างชาติ รู้วิธีอธิบายตั้งแต่ระดับศูนย์ให้เข้าใจง่าย โดยไม่ต้องพึ่งการแปลซับซ้อน ครูที่มี TESOL มักจะ
- รู้ว่าควรเริ่มจากโครงสร้างประโยคแบบไหนให้ผู้เริ่มต้นใช้ได้ทันที
- มีกิจกรรมโต้ตอบ ทำให้ผู้เรียนกล้าพูดแม้จะรู้คำศัพท์ยังไม่เยอะ
- ใช้วิธีแก้ไขข้อผิดพลาดอย่างนุ่มนวล ไม่ทำให้รู้สึกเสียหน้า
เมื่อเริ่มเรียนภาษาอังกฤษ ไม่มีพื้นฐานเลย การมีครูที่เข้าใจจุดเริ่มต้นของผู้เรียน จะช่วยย่นระยะเวลาลองผิดลองถูกลงได้มาก
ตัวอย่างการเรียนกับแพลตฟอร์มออนไลน์ของไทย: 51Talk Thailand
สำหรับผู้ที่อยากเริ่มจากศูนย์และโฟกัสการพูด แพลตฟอร์มอย่าง 51Talk Thailand เป็นตัวเลือกที่เหมาะเพราะเน้นการเรียนตัวต่อตัวกับครูต่างชาติ ผ่านคลาสออนไลน์สั้น ๆ ประมาณ 25 นาทีต่อครั้ง ทำให้ผู้เรียนได้ใช้ภาษาอังกฤษตลอดคาบ และค่อย ๆ สร้างความมั่นใจทีละเล็กทีละน้อย
จุดเด่นคือมีหลักสูตรที่ออกแบบตามระดับของผู้เรียน ตั้งแต่ระดับเริ่มต้นที่เน้นฟัง–พูด ไปจนถึงระดับสูงขึ้น ครูหลายคนมีประกาศนียบัตร TESOL ช่วยให้การอธิบายเนื้อหาพื้นฐาน เช่น คำศัพท์ การออกเสียง เป็นไปอย่างเป็นระบบและเข้าใจง่าย
หากต้องการวางแผนให้ “พูดได้ใน 3 เดือน” การเรียนตัวต่อตัวสัปดาห์ละ 2–3 ครั้ง ควบคู่กับการฝึกพูดเองทุกวัน จะทำให้เห็นผลเร็วและชัดเจนกว่าการเรียนแบบฟังอย่างเดียว
โฟกัสสิ่งที่สำคัญที่สุด: ออกเสียง คำศัพท์ และประโยคพื้นฐาน
สัปดาห์แรก: ปรับหูและปากให้คุ้นกับภาษาอังกฤษ
ในช่วง 7–10 วันแรก ผู้เรียนที่ไม่มีพื้นฐานควรโฟกัสการ “ฟัง–เลียนเสียง” มากกว่าการจำคำแปล ควรเลือกคลิปสั้น ๆ ระดับผู้เริ่มต้น เช่น บทสนทนาทักทายในชีวิตประจำวัน แล้วทำตามขั้นตอนนี้
- ฟังรอบแรกโดยไม่เปิดซับไตเติล ปล่อยให้หูปรับกับเสียง
- ฟังรอบที่สองพร้อมซับภาษาอังกฤษ ขีดเส้นใต้คำที่ได้ยินชัด
- พูดตามทีละประโยค เน้นจังหวะและน้ำเสียง
- อัดเสียงตัวเองแล้วเทียบกับเจ้าของภาษา
เดือนแรก: คำศัพท์และวลีพื้นฐานที่ต้องรู้
ในเดือนแรกควรตั้งเป้าจำคำศัพท์และวลีพื้นฐาน 200–300 คำ โดยเน้นหมวดที่ใช้จริง เช่น การทักทาย ครอบครัว งาน กิจวัตรประจำวัน ตัวเลข เวลา และอาหาร การฝึกในรูปแบบ “หมวดคำศัพท์ + ประโยคตัวอย่าง” จะช่วยให้สมองเชื่อมโยงได้ง่ายขึ้น
- คำศัพท์เกี่ยวกับตัวเอง: name, age, job, hobby, city
- คำศัพท์เวลา: morning, afternoon, evening, today, tomorrow
- คำศัพท์อาหารพื้นฐาน: rice, noodles, chicken, water, coffee
- คำกิริยาที่ใช้บ่อย: like, want, go, come, eat, drink, need
ควบคู่กันนั้นควรฝึกใช้ประโยคง่าย ๆ เช่น I like…, I want…, I go to…, I need… นี่คือหัวใจของการเรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่ศูนย์ให้พูดได้เร็ว
เดือนที่สองและสาม: ต่อประโยคให้ยาวขึ้น
เมื่อเริ่มชินกับคำและวลีแล้ว ให้ฝึกเล่าเรื่องด้วยประโยคต่อเนื่อง เช่น เล่า “หนึ่งวันของฉัน” ด้วย 5–7 ประโยค และเล่าเหตุการณ์ในอดีตง่าย ๆ ด้วยโครงสร้างประโยคพื้นฐาน เช่น yesterday, last week
ตัวอย่างหัวข้อที่ควรฝึกพูดบ่อย ๆ:
- เล่าวันทำงาน หรือวันเรียนของตนเอง
- เล่าแผนวันหยุดสุดสัปดาห์
- เล่าหนังหรือคลิปที่เพิ่งดูสั้น ๆ
- เล่าความรู้สึก เช่น I feel happy because…
กรณีศึกษาและผลลัพธ์จริง
กรณีศึกษา 1: เริ่มจากศูนย์ แต่กล้าพูดกับครูต่างชาติใน 10 สัปดาห์
ผู้เรียนวัยทำงานคนหนึ่งเริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษ ไม่มีพื้นฐานเลย ตอนเริ่มยังไม่กล้าพูดประโยคเต็ม ๆ ในชั้นเรียน แผนที่ใช้คือเรียนตัวต่อตัวกับครูต่างชาติออนไลน์สัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 25 นาที ควบคู่กับการฝึกเงาเสียงจากคลิปเจ้าของภาษาอีกวันละ 15 นาที
ช่วง 2–3 สัปดาห์แรกโฟกัสแค่การทักทาย แนะนำตัว และตอบคำถามสั้น ๆ เช่น Yes/No + คำอธิบายคำเดียว พอถึงสัปดาห์ที่ 6–8 สามารถตอบคำถามยาวขึ้นเช่น “What did you do yesterday?” ด้วย 3–4 ประโยค และตอนครบ 10 สัปดาห์กล้าพูดนำสนทนาด้วยตัวเองเมื่อต้องแนะนำงานของตนสั้น ๆ
ปัจจัยความสำเร็จคือการฝึกทุกวันแบบสั้นแต่สม่ำเสมอ บวกกับการได้รับคำแนะนำจากครูที่มีประสบการณ์สอนผู้เริ่มต้น ซึ่งช่วยแก้จุดผิดซ้ำ ๆ อย่างสุภาพและให้กำลังใจ
กรณีศึกษา 2: ใช้แผน 3 เดือนเตรียมสัมภาษณ์งานต่างชาติ
อีกหนึ่งกรณีคือผู้เรียนที่ต้องการสัมภาษณ์งานกับบริษัทต่างชาติในเวลา 3 เดือน จากเดิมพูดได้แค่ประโยคสั้น ๆ จึงวางแผนดังนี้
- เดือนแรก: ปรับพื้นฐานคำศัพท์เกี่ยวกับตัวเองและงานที่ทำ
- เดือนที่สอง: ฝึกตอบคำถามสัมภาษณ์ยอดนิยม เช่น Tell me about yourself, What are your strengths?
- เดือนที่สาม: ซ้อมสัมภาษณ์จริงกับครูต่างชาติสัปดาห์ละ 2–3 ครั้ง
ผลลัพธ์คือในเดือนที่สาม ผู้เรียนสามารถแนะนำตัวเป็นภาษาอังกฤษได้ต่อเนื่อง 2–3 นาที และตอบคำถามต่อเนื่องได้แม้จะยังมีติดขัดบ้าง แต่ภาพรวมสามารถสื่อสารได้ดีพอสำหรับการสัมภาษณ์ระดับเบื้องต้น
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการเรียนภาษาอังกฤษ ไม่มีพื้นฐานเลย ให้พูดได้ใน 3 เดือน
ต้องเรียนวันละกี่นาที ถึงจะพูดได้ใน 3 เดือน
แนะนำอย่างน้อยวันละ 45–60 นาที หากเป็นไปได้ควรแบ่งเป็นช่วงสั้น ๆ เช่น เช้า 20 นาที เย็น 30 นาที และถ้ามีคลาสตัวต่อตัวกับครูต่างชาติสัปดาห์ละ 2–3 ครั้ง จะช่วยให้เกิดการใช้งานจริงและมั่นใจเร็วขึ้น
ไม่มีพื้นฐานเลยควรเริ่มจากแกรมมาร์หรือคำศัพท์ก่อน
สำหรับการสื่อสารใน 3 เดือน ควรเริ่มจาก “วลีและประโยคที่ใช้บ่อย” มากกว่ากฎแกรมมาร์ละเอียด เมื่อใช้บ่อย ๆ สมองจะเริ่มจับรูปแบบประโยคเอง ส่วนแกรมมาร์เชิงลึกค่อยเสริมทีหลังเมื่อเริ่มสื่อสารได้แล้ว
เรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเองอย่างเดียวพอไหม
การเรียนด้วยตัวเองจากคลิปและแอปต่าง ๆ ช่วยได้มาก แต่จุดอ่อนคือไม่มีคนคอยฟังและแก้การออกเสียงหรือโครงสร้างประโยคให้ หากต้องการพูดได้ภายใน 3 เดือน การผสมผสานระหว่างเรียนเองและเรียนตัวต่อตัว จะทำให้ก้าวหน้าเร็วกว่าอย่างชัดเจน
จำเป็นต้องเรียนกับครูต่างชาติหรือไม่
ไม่ได้จำเป็น 100% แต่การเรียนกับครูต่างชาติที่มีประสบการณ์และมีประกาศนียบัตร TESOL จะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมภาษาอังกฤษจริง ให้ได้ใช้ภาษาในทุกนาทีของคลาส และทำให้คุ้นกับสำเนียงเจ้าของภาษาเร็วขึ้น
อายุเยอะแล้วจะเรียนภาษาอังกฤษ ไม่มีพื้นฐานเลย ได้จริงหรือ
งานวิจัยหลายชิ้นชี้ว่าแม้เด็กจะเรียนภาษาได้เร็วกว่า แต่ผู้ใหญ่มีข้อได้เปรียบคือมีวินัยและเข้าใจการวางแผนการเรียนของตัวเองได้ดี หากตั้งเป้าหมายชัด ฝึกสม่ำเสมอ และใช้วิธีที่เหมาะสม ก็สามารถพูดภาษาอังกฤษระดับพื้นฐานได้ภายในเวลา 3 เดือนเช่นกัน
ลิงก์ภายในที่แนะนำ
- เรียน ภาษา อังกฤษ ไม่มี พื้นฐาน เลย ฟรี เริ่มต้นได้อย่างไรในปี 2025 – แนวทางเริ่มต้นแบบไม่เสียค่าใช้จ่ายสำหรับผู้เริ่มต้น
- วิธีฝึกพูดภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง สำหรับผู้เริ่มต้น 2025 – ตารางฝึกพูดและเทคนิคเสริมความมั่นใจสำหรับผู้เริ่มต้น
- หน้าหลัก 51Talk Thailand – แพลตฟอร์มเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ตัวต่อตัว – ข้อมูลหลักสูตรและการทดลองคลาสออนไลน
- เรียนภาษาอังกฤษ ไม่มีพื้นฐานเลย ผู้ใหญ่เริ่มต้นจากศูนย์
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- Cambridge English. “Guided learning hours” – คำแนะนำจำนวนชั่วโมงเรียนโดยประมาณต่อหนึ่งระดับ CEFR ดูรายละเอียด
- Cambridge University Press & Assessment. “How long does it take to learn a language?” – บทความอธิบายแนวคิดการเรียนภาษาอย่างต่อเนื่อง ดูบทความ
- Bangkok Post. “Thailand ranked ‘very low’ in English proficiency index” – รายงานผลดัชนีความสามารถภาษาอังกฤษปี 2023 อ่านข่าว
- กระทรวงศึกษาธิการ (Ministry of Education, Thailand) – ข้อมูลและนโยบายด้านการศึกษา เว็บไซต์ทางการ
ข้อมูลและคำแนะนำในบทความนี้จัดทำขึ้นจากประสบการณ์สอนภาษาอังกฤษของผู้เขียน ร่วมกับการอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ ผู้อ่านควรปรับใช้แผนการเรียนให้เหมาะสมกับเวลา สุขภาพ และความพร้อมของตนเอง หากมีข้อจำกัดด้านสุขภาพหรือเวลา ควรลดหรือปรับตารางการฝึกตามความเหมาะสม








