
เคยไหมครับ? นั่งอ่านข่าวภาษาอังกฤษหรือดูหนังฝรั่ง แล้วเจอประโยคที่แปลไม่ออก ทั้งที่รู้ศัพท์ทุกคำ แต่พอมารวมกันแล้วความหมายมันดูแปลกๆ เช่น “The cake was eaten.” (เค้กถูกกิน) แทนที่จะเป็น “Someone ate the cake.” (ใครบางคนกินเค้ก) ความสับสนนี้มักเกิดจากไวยากรณ์ตัวปราบเซียนที่เรียกว่า Passive Voice นั่นเองครับ
ในฐานะที่ผมคลุกคลีอยู่กับการสอนภาษาอังกฤษมากว่า 10 ปี และได้เห็นปัญหาของคนไทยในการเรียนไวยากรณ์ ผมกล้าบอกเลยว่า passive voice คือ กุญแจดอกสำคัญที่จะเปลี่ยนภาษาอังกฤษระดับ “พอใช้” ให้กลายเป็นระดับ “มืออาชีพ” ได้ทันที บทความนี้ผมจะไม่ได้แค่มาสอนท่องจำสูตร แต่จะพาไปทำความเข้าใจ “หัวใจ” ของมัน เพื่อให้คุณนำไปใช้ได้จริง ทั้งในการสอบ การทำงาน และชีวิตประจำวัน รับรองว่าอ่านจบ คุณจะมองภาษาอังกฤษเปลี่ยนไปตลอดกาลครับ

Passive Voice คืออะไร? ทำไมต้องใช้ให้เรื่องมาก?
อธิบายแบบภาษาชาวบ้านที่เข้าใจง่ายที่สุด Passive Voice คือ รูปประโยคที่ “ประธานเป็นผู้ถูกกระทำ” ครับ
ปกติแล้วเวลาเราพูดภาษาอังกฤษ เรามักจะชินกับประโยคแบบ Active Voice (ประธานเป็นคนทำ) เช่น “ฉันกินข้าว” (I eat rice) แต่ในโลกความเป็นจริง เราไม่ได้ต้องการเน้นว่า “ใครทำ” เสมอไป บางครั้งเราอยากเน้นที่ “สิ่งที่ถูกทำ” หรือ “ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น” มากกว่า นี่คือเหตุผลที่ Passive Voice ถือกำเนิดขึ้นมาครับ
เปรียบเทียบความแตกต่างให้เห็นภาพ (Comparison Table)
| หัวข้อเปรียบเทียบ | Active Voice (เน้นผู้ทำ) | Passive Voice (เน้นผู้ถูกทำ) |
|---|---|---|
| ความหมายหลัก | ประธานเป็นผู้กระทำกริยา | ประธานเป็นผู้รับผลของการกระทำ |
| โครงสร้างพื้นฐาน | Subject + Verb + Object | Subject + V.to be + V.3 |
| ตัวอย่างภาษาไทย | แม่ทำความสะอาดห้อง | ห้องถูกทำความสะอาด (โดยแม่) |
| ตัวอย่างภาษาอังกฤษ | Mom cleans the room. | The room is cleaned by Mom. |
| จุดประสงค์การใช้ | บอกเล่าเรื่องราวทั่วไป ระบุตัวผู้ทำชัดเจน | เน้นสิ่งที่เกิดขึ้น, ไม่รู้ว่าใครทำ, หรือไม่สำคัญว่าใครทำ |
เห็นไหมครับว่า ความหมายโดยรวมอาจจะเหมือนกัน แต่ “จุดโฟกัส” ของประโยคนั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง การเลือกใช้ให้ถูกบริบทจะช่วยให้การสื่อสารของเราดูฉลาดและเป็นธรรมชาติมากขึ้น
เจาะลึกโครงสร้าง: สูตรลับฉบับเข้าใจง่าย
หัวใจสำคัญของเรื่องนี้มีอยู่แค่นิดเดียวครับ จำสมการนี้ไว้ให้แม่นเลยนะครับ:
S (สิ่งที่ถูกทำ) + Verb to be + V.3 (Past Participle)
องค์ประกอบที่ขาดไม่ได้เลยคือ Verb to be (is, am, are, was, were, be, been, being) และ กริยาช่อง 3 (V.3) ครับ ถ้าขาดตัวใดตัวหนึ่งไป จะไม่ใช่ Passive Voice ทันที
ขั้นตอนการเปลี่ยน Active เป็น Passive ใน 3 สเต็ป
- สลับที่: เอา “กรรม” ของประโยค Active มาเป็น “ประธาน” ของประโยค Passive
- เติม V.to be: ใส่ Verb to be ให้ตรงกับ Tense เดิม และตรงกับประธานตัวใหม่
- ผันกริยา: เปลี่ยนกริยาแท้ให้เป็นช่อง 3 (V.3) เสมอ
(Optional: เติม by + ผู้กระทำ ต่อท้าย ถ้าต้องการระบุว่าใครทำ)
Expert Tip: ปัญหาที่คนไทยส่วนใหญ่เจอไม่ใช่เรื่องโครงสร้าง แต่เป็นการจำ การใช้ Have Has Had และกริยา 3 ช่อง ไม่ได้ ดังนั้นก่อนจะแม่นเรื่อง Passive Voice แนะนำให้ทบทวนเรื่อง Irregular Verbs (กริยา 3 ช่อง) ให้คล่องด้วยนะครับ
เจาะลึก 12 Tense ในรูปแบบ Passive Voice (ฉบับใช้งานจริง)
นี่คือส่วนที่ทำให้นักเรียนหลายคนปวดหัวที่สุด แต่ผมจะสรุปให้ดูง่ายๆ แบ่งตามกลุ่มเวลา เพื่อให้คุณเห็นภาพรวมและนำไปใช้ได้ทันทีครับ
1. กลุ่ม Present (ปัจจุบัน)
Present Simple Tense
ใช้กับความจริงทั่วไป หรือสิ่งที่ทำเป็นประจำ
- Active: She writes a letter. (เธอเขียนจดหมาย)
- Passive: A letter is written by her. (จดหมายถูกเขียนโดยเธอ)
- โครงสร้าง: S + is/am/are + V.3
สำหรับใครที่ยังไม่แม่นเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน ลองกลับไปทบทวน สรุปโครงสร้าง Present Simple ก่อนนะครับ จะช่วยให้เข้าใจการผันรูปได้ไวขึ้นมาก
Present Continuous Tense
ใช้กับสิ่งที่กำลังถูกกระทำอยู่ในขณะนี้
- Active: They are building a new house. (พวกเขากำลังสร้างบ้านใหม่)
- Passive: A new house is being built. (บ้านใหม่กำลังถูกสร้างอยู่)
- โครงสร้าง: S + is/am/are + being + V.3
Present Perfect Tense
ใช้กับสิ่งที่เพิ่งถูกกระทำเสร็จ หรือถูกกระทำตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
- Active: Someone has stolen my car. (ใครบางคนขโมยรถฉันไป)
- Passive: My car has been stolen. (รถของฉันถูกขโมยไปแล้ว)
- โครงสร้าง: S + has/have + been + V.3
อ่านเพิ่มเติม: เจาะลึกโครงสร้าง Present Perfect และการใช้งาน
2. กลุ่ม Past (อดีต)
Past Simple Tense
ใช้กับเหตุการณ์ที่ถูกกระทำจบไปแล้วในอดีต
- Active: The teacher punished the student. (ครูทำโทษนักเรียน)
- Passive: The student was punished by the teacher. (นักเรียนถูกทำโทษโดยครู)
- โครงสร้าง: S + was/were + V.3
การเข้าใจ Past Simple Tense โครงสร้างเป็นพื้นฐานสำคัญมากในการเล่าเรื่องราวในอดีตครับ
Past Continuous Tense
ใช้กับเหตุการณ์ที่กำลังถูกกระทำอยู่ในช่วงเวลาหนึ่งในอดีต
- Active: She was cooking dinner at 6 PM. (เธอกำลังทำมื้อเย็นตอน 6 โมง)
- Passive: Dinner was being cooked at 6 PM. (มื้อเย็นกำลังถูกทำอยู่ตอน 6 โมง)
- โครงสร้าง: S + was/were + being + V.3
3. กลุ่ม Future (อนาคต)
Future Simple Tense
ใช้กับสิ่งที่จะถูกกระทำในอนาคต
- Active: They will finish the project tomorrow. (พวกเขาจะทำโปรเจกต์ให้เสร็จพรุ่งนี้)
- Passive: The project will be finished tomorrow. (โปรเจกต์จะเสร็จในวันพรุ่งนี้)
- โครงสร้าง: S + will be + V.3
เมื่อไหร่ที่เรา “ควร” ใช้ Passive Voice?
นี่คือคำถามที่สำคัญกว่า “ใช้อย่างไร” เสียอีกครับ เพราะถ้าใช้พร่ำเพรื่อ งานเขียนของคุณจะดูเยิ่นเย้อและน่าเบื่อ นี่คือ 4 สถานการณ์ที่คุณควรหยิบ Passive Voice มาใช้ครับ:
- เมื่อไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ:
Example: “My wallet was stolen.” (กระเป๋าตังค์ฉันถูกขโมย – ไม่รู้ว่าใครขโมย) - เมื่อผู้กระทำไม่สำคัญเท่ากับสิ่งที่เกิดขึ้น:
Example: “This temple was built in 1800.” (วัดนี้สร้างปี 1800 – ใครสร้างอาจจะไม่สำคัญเท่ากับอายุของวัด) - เมื่อเป็นภาษาทางการ ข่าว หรือเอกสารวิชาการ:
Example: “The experiment was conducted…” (การทดลองถูกดำเนินการ… – ฟังดูเป็นวิทยาศาสตร์และน่าเชื่อถือกว่าบอกว่า I did the experiment) - เมื่อต้องการหลีกเลี่ยงการตำหนิบุคคลโดยตรง (Diplomatic Language):
Example: “Mistakes were made.” (มีความผิดพลาดเกิดขึ้น – แทนที่จะพูดว่า You made a mistake ซึ่งดูรุนแรงไป)
กรณีศึกษาและผลลัพธ์จริง (Case Study & Real Results)
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นว่าการเข้าใจไวยากรณ์นี้ส่งผลต่อทักษะภาษาอังกฤษอย่างไร ผมขอยกตัวอย่างจากข้อมูลการวิเคราะห์ภาษาศาสตร์ (Linguistic Analysis) ครับ
การวิเคราะห์พาดหัวข่าว (News Headlines Analysis)
จากการสำรวจพาดหัวข่าวภาษาอังกฤษจากสำนักข่าวชั้นนำอย่าง BBC หรือ CNN พบว่ากว่า 40% ของพาดหัวข่าวใช้รูปประโยคแบบ Passive Voice (มักจะตัด Verb to be ออกเพื่อความกระชับ) เช่น:
- “Man killed in accident” (มาจาก A man was killed…)
- “Taxes increased by government” (มาจาก Taxes were increased…)
ผลลัพธ์: ผู้เรียนที่ไม่เข้าใจ concept ของ Passive Voice มักจะแปลพาดหัวข่าวผิด เช่น แปลว่า “ผู้ชายฆ่าในอุบัติเหตุ” (Man killed…) ซึ่งความหมายผิดไปคนละทางเลยครับ การเข้าใจเรื่องนี้จะช่วยให้ทักษะการอ่าน (Reading Skill) ของคุณก้าวกระโดดทันที
ประสบการณ์จากห้องเรียนจริง
ในคลาสเรียนของผมที่ 51Talk Thailand ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์แบบตัวต่อตัวกับครูชาวต่างชาติ เราพบว่านักเรียนที่สามารถใช้ Passive Voice ได้คล่องแคล่ว จะได้รับคะแนนประเมินในส่วนของ “ความซับซ้อนทางภาษา” (Grammatical Range and Accuracy) สูงกว่านักเรียนทั่วไปในการสอบวัดระดับมาตรฐานสากล เพราะมันแสดงถึงความสามารถในการพลิกแพลงรูปประโยคได้หลากหลาย
หากคุณสนใจอยากฝึกใช้ไวยากรณ์นี้ในการพูดจริงกับครูเจ้าของภาษา ลองดูรีวิวประสบการณ์จริงได้ที่ รีวิว 51Talk Thailand จากประสบการณ์จริง เพื่อดูว่าการเรียนแบบตัวต่อตัวช่วยแก้ปัญหาไวยากรณ์ได้อย่างไรบ้าง
ข้อควรระวัง! กับดักที่คนไทยชอบพลาด
- Intransitive Verbs ทำเป็น Passive ไม่ได้: กริยาที่ไม่ต้องการกรรม เช่น sleep, die, happen, arrive จะไม่สามารถทำเป็น Passive Voice ได้ครับ
ผิด: An accident was happened.
ถูก: An accident happened. - ลืมผัน V.3: หลายคนจำโครงสร้างได้แต่ลืมเปลี่ยนกริยาเป็นช่อง 3 ทำให้ความหมายเปลี่ยน
- ใช้ผิดบริบท: การใช้ Passive Voice มากเกินไปในงานเขียนเล่าเรื่อง (Narrative) จะทำให้เรื่องดูเนือยๆ ไม่น่าตื่นเต้น ควรใช้ Active Voice ในการดำเนินเรื่องจะดีกว่า
เทคนิคการฝึกฝนให้เก่งไว (How to Practice)
การรู้ทฤษฎีอย่างเดียวไม่พอครับ ต้องลงมือทำด้วย นี่คือวิธีฝึกที่ผมแนะนำ:
- ฝึกสังเกต: เวลาอ่านบทความภาษาอังกฤษ ให้ลองวงกลมประโยคที่เป็น Passive Voice แล้วถามตัวเองว่า “ทำไมผู้เขียนถึงใช้รูปประโยคนี้?”
- ฝึกเปลี่ยนประโยค: ลองเขียนประโยค Active ง่ายๆ แล้วเปลี่ยนเป็น Passive ดูวันละ 5 ประโยค
- ฝึกพูด: การพูดเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการทำให้สมองจดจำโครงสร้าง หากไม่มีคู่ซ้อม ลองหาที่เรียนที่เน้นการสนทนาอย่าง คอร์สเรียนภาษาอังกฤษพูดได้จริง ที่จะช่วยให้คุณได้ใช้ไวยากรณ์ในสถานการณ์จริงครับ
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
Q: Get + V.3 ถือว่าเป็น Passive Voice ไหม?
A: เป็นครับ เรียกว่า “Get Passive” มักใช้ในภาษาพูด (Informal) เพื่อเน้นถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด หรืออุบัติเหตุ เช่น “I got fired.” (ฉันถูกไล่ออก) มีความหมายคล้ายกับ “I was fired.” แต่ฟังดูเป็นกันเองกว่าครับ
Q: จำเป็นต้องใส่ by… ตลอดไหม?
A: ไม่จำเป็นครับ ประมาณ 70-80% ของประโยค Passive Voice ในชีวิตจริง ไม่ใส่ by… เพราะเรามักจะละไว้ในฐานที่เข้าใจ หรือไม่รู้ว่าใครทำ หรือไม่สำคัญครับ ใส่เฉพาะเมื่อต้องการระบุตัวผู้กระทำที่สำคัญจริงๆ เท่านั้น
Q: เด็กเริ่มเรียน Passive Voice ได้ตอนอายุเท่าไหร่?
A: โดยปกติเด็กจะเริ่มเรียนโครงสร้างนี้อย่างจริงจังช่วงประถมปลาย (ป.5-ป.6) หรือมัธยมต้นครับ แต่ในการเรียนรู้แบบธรรมชาติ (Acquisition) เด็กๆ สามารถเข้าใจ concept นี้ได้ผ่านการฟังและการพูดตั้งแต่เล็กๆ หากได้รับการสอนที่ถูกต้อง ดูแนวทางการสอนสำหรับเด็กได้ที่ เทคนิคสอนภาษาอังกฤษเด็กเล็ก ครับ
บทสรุป
สรุปแล้ว Passive Voice คือ เครื่องมือทางภาษาที่ช่วยให้เราเน้น “สิ่งที่ถูกกระทำ” หรือ “เหตุการณ์” มากกว่าตัวบุคคล เป็นไวยากรณ์ที่ดูเหมือนยากแต่ถ้าเข้าใจหลักการ S + V.to be + V.3 แล้ว คุณจะพบว่ามันมีประโยชน์มหาศาลในการยกระดับภาษาอังกฤษของคุณให้ดูเป็นทางการและเป็นมืออาชีพมากขึ้น
อย่าลืมนะครับว่า ภาษาอังกฤษเป็นทักษะ (Skill) ไม่ใช่ความรู้ (Knowledge) การอ่านบทความนี้จบเป็นเพียงจุดเริ่มต้น สิ่งสำคัญคือการนำไปใช้บ่อยๆ จนเกิดความชำนาญ ถ้าคุณกำลังมองหาตัวช่วยที่จะทำให้คุณเก่งภาษาอังกฤษได้เร็วขึ้น อย่าลืมแวะไปดูเทคนิคดีๆ เพิ่มเติมที่เว็บไซต์ 51Talk Thailand ของเรานะครับ ขอให้สนุกกับการเรียนภาษาอังกฤษครับ!
อ้างอิงและแหล่งข้อมูลเพิ่มเติม:
– Cambridge Dictionary: Passive Voice Grammar
– British Council: Active and Passive Voice
– Oxford Learner’s Dictionaries









