
หลายคนเคยคิดในใจว่า “ฉันพูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง” เวลาต้องคุยกับชาวต่างชาติ ประชุมออนไลน์ หรือแม้แต่ตอนต้องแนะนำตัวสั้น ๆ ก็ยังรู้สึกตื่นเต้น พูดไม่ออก ทั้งที่อ่าน–เขียนได้บ้างแล้ว คำถามสำคัญคือ ถ้าตอนนี้ยังไม่เก่งเลย ควรเริ่มฝึกจากตรงไหนก่อน แบบที่ไม่กดดันตัวเองและเห็นผลจริงในไม่กี่เดือน
บทความนี้จะพาคุณไล่ทีละขั้น ตั้งแต่ปรับมุมมองต่อการเรียนภาษา ทำความเข้าใจว่าทำไมเราถึงรู้สึกว่าพูดไม่เก่ง วางเป้าหมายที่จับต้องได้ เลือกประโยคเอาตัวรอดสำหรับชีวิตประจำวัน พร้อมแผนฝึก 4 สัปดาห์ เทคนิคฝึกพูดภาษาอังกฤษพื้นฐานแบบง่าย และแนวทางเลือกครู–คอร์สออนไลน์ เช่นแพลตฟอร์มอย่าง 51Talk Thailand ที่ครูมีวุฒิ TESOL และเน้นให้ผู้เรียนได้พูดจริงในทุกคลาส
ทำไมถึงรู้สึกว่า “ฉันพูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง” อยู่ตลอด?
ก่อนจะตอบว่าควรเริ่มฝึกยังไง ลองสำรวจให้ชัดก่อนว่าทำไมเราถึงติดภาพตัวเองว่า “ฉันพูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง” เพราะเหตุผลที่ต่างกัน นำไปสู่วิธีแก้ที่ต่างกันเช่นกัน
- เคยเรียนแต่ทฤษฎี แทบไม่ได้พูดจริง – หลายคนเรียนแกรมมาร์ ทำแบบฝึกหัดเยอะมาก แต่แทบไม่เคยฝึกพูดออกเสียงจริง ๆ เลย
- กลัวพูดผิด กลัวโดนทักสำเนียง – ความกลัวนี้ทำให้สมองสั่ง “เงียบไว้ปลอดภัยกว่า” แทนที่จะลองพูด
- เปรียบเทียบตัวเองกับคนที่เก่งอยู่แล้ว – ยิ่งเทียบกับคนที่ใช้ภาษาอังกฤษทุกวัน ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองห่างเกินไป
- ไม่มีแผนฝึกที่เป็นระบบ – ฝึกบ้าง หยุดบ้าง ไม่มีเป้าหมายชัด เลยไม่เห็นพัฒนาการและคิดว่าตัวเองไม่เก่ง
ข้อมูลจาก EF English Proficiency Index ปี 2025 ระบุว่าคะแนนภาพรวมด้านภาษาอังกฤษของประเทศอยู่ที่ประมาณ 402 จัดอยู่ในกลุ่มระดับต่ำมาก และอยู่อันดับราว ๆ 116 ของโลก ตัวเลขนี้ไม่ได้มีไว้ให้รู้สึกแย่ แต่ช่วยย้ำว่า ถ้าคุณรู้สึกว่าพูดไม่เก่ง คุณไม่ได้อยู่คนเดียว และสามารถพัฒนาขึ้นได้จริงถ้ามีวิธีฝึกที่เหมาะสม
เปลี่ยนมุมมองจาก “พูดไม่เก่ง” เป็น “กำลังฝึกอยู่”
คนจำนวนมากติดกับดักคำว่า “ฉันพูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง” จนกลายเป็นภาพตัวเองแบบถาวร ทั้งที่จริง ๆ แล้วคุณแค่ ยังไม่ได้ฝึกอย่างต่อเนื่อง มากพอเท่านั้น การเปลี่ยนคำพูดในหัวเล็กน้อย มีผลกับแรงใจในการเรียนอย่างชัดเจน
- แทนที่จะคิดว่า “ฉันพูดภาษาอังกฤษไม่เก่งเลย” ลองเปลี่ยนเป็น “ตอนนี้ยังไม่คล่อง แต่กำลังฝึกอยู่ทุกวัน”
- ตั้งเป้าเฉพาะ เช่น “ใน 30 วันอยากแนะนำตัวเป็นภาษาอังกฤษได้แบบไม่ต้องมองโพย”
- ให้รางวัลตัวเองกับความก้าวหน้าเล็ก ๆ เช่น ฟังเข้าใจประโยคเพิ่มขึ้น หรือกล้าพูดประโยคแรกกับเพื่อนร่วมงาน
งานวิจัยด้านการเรียนภาษาหลายฉบับพบว่า การฝึกที่เน้นการลงมือทำจริงร่วมกับบรรยากาศเรียนรู้เชิงบวก ช่วยให้คะแนนทักษะการพูดของผู้เรียนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญภายในเวลาไม่กี่เดือน เพราะฉะนั้น จุดเริ่มต้นคือการยอมรับตัวเองในจุดที่ยืนอยู่ และมองทุกประโยคที่กล้าพูดว่าเป็น “หนึ่งก้าวไปข้างหน้า”
เริ่มฝึกยังไงวันแรก เมื่อรู้สึกว่า “ฉันพูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง”
1. เลือกสถานการณ์จริง 2–3 แบบที่ต้องใช้บ่อย
แทนที่จะเริ่มจากการท่องคำศัพท์เป็นร้อยคำ ลองเลือกสถานการณ์ที่คุณต้องใช้บ่อยจริง ๆ เช่น
- การแนะนำตัวสั้น ๆ
- การคุยงานง่าย ๆ ทางวิดีโอคอล
- การขอความช่วยเหลือ หรือถามข้อมูล
จากนั้นจดสิ่งที่อยากพูดในสถานการณ์นั้นออกมาเป็นภาษาไทยก่อน แล้วค่อยแปลงเป็นภาษาอังกฤษทีละประโยค ไม่ต้องหรู ขอแค่สื่อสารได้ก็พอ เช่น “ขอโทษค่ะ ฟังไม่ทัน ช่วยพูดอีกครั้งได้ไหม”
2. สร้างชุดประโยคเอาตัวรอด 20 ประโยค
สำหรับคนที่รู้สึกว่า “ฉันพูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง” การมี “ชุดประโยคเอาตัวรอด” จะช่วยให้มั่นใจขึ้นมาก เพราะไม่ว่าจะเจอสถานการณ์ไหน ก็ยังมีประโยคพื้นฐานพร้อมใช้ เช่น
- Hi, I’m … Nice to meet you.
- Could you say that again, please?
- Let me think for a second.
- Sorry, I didn’t catch that.
พิมพ์หรือเขียนประโยคเหล่านี้แปะไว้ที่โต๊ะทำงาน หรือหน้าจอมือถือ แล้วอ่านออกเสียงวันละหลาย ๆ รอบ การได้พูดซ้ำ ๆ จะช่วยลดความเกร็งเวลาใช้จริง
3. ฝึกเงาเสียง (Shadowing) วันละ 10–15 นาที
เทคนิคเงาเสียงคือการฟังประโยคภาษาอังกฤษสั้น ๆ จากคลิป หรือพอดแคสต์ แล้วพูดตามทันที เลียนแบบทั้งจังหวะ น้ำเสียง และการเน้นคำ วิธีนี้ช่วยเรื่องสำเนียงและความลื่นไหลได้ดีมาก
คุณสามารถเริ่มจากคลิปสั้น ๆ ที่ใช้ภาษาง่าย ๆ ก่อน แล้วค่อยขยับไปเนื้อหาที่ยากขึ้น ถ้าต้องการไกด์แบบละเอียด ตารางเงาเสียง 7 วันพร้อมประโยคตัวอย่างสามารถดูต่อได้จากบทความ วิธีฝึกพูดภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง สำหรับผู้เริ่มต้น บนเว็บไซต์เดียวกัน
4. บันทึกเสียงตัวเองแล้วฟังย้อน
หลายคนไม่กล้าพูด เพราะไม่เคยได้ยินเสียงตัวเองเป็นภาษาอังกฤษเลย ลองเปิดแอปอัดเสียง พูดแนะนำตัว 30 วินาที แล้วฟังย้อนกลับ จะช่วยให้คุณรู้ว่าคำไหนออกเสียงชัด คำไหนยังต้องฝึกเพิ่ม ทำซ้ำแบบนี้ทุกสัปดาห์ คุณจะได้เห็นพัฒนาการจริง ไม่ใช่แค่ความรู้สึก

แผนฝึก 4 สัปดาห์สำหรับคนที่รู้สึกว่าพูดไม่เก่งเลย
ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างแผนฝึก 4 สัปดาห์สำหรับคนที่เริ่มจากจุดที่รู้สึกว่า “ฉันพูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง” สามารถปรับเวลาให้เข้ากับชีวิตประจำวันของคุณได้
| สัปดาห์ | เป้าหมายหลัก | ตัวอย่างกิจกรรมในแต่ละวัน |
|---|---|---|
| สัปดาห์ที่ 1 | กล้าพูดประโยคง่าย ๆ | ท่องและพูดชุดประโยคเอาตัวรอด 20 ประโยค เงาเสียงคลิปสั้นวันละ 10 นาที อัดเสียงแนะนำตัวสั้น ๆ 30 วินาที |
| สัปดาห์ที่ 2 | ต่อบทสนทนาให้นานขึ้น | เพิ่มวลีสำหรับถาม–ตอบในชีวิตประจำวัน ฝึกตอบคำถาม “Who / What / Where / When / Why / How” ลองพูดคนเดียวหน้ากระจก 3–5 นาที |
| สัปดาห์ที่ 3 | ฝึกพูดกับคนจริง ๆ | หาคู่สนทนาทางออนไลน์ หรือเพื่อนร่วมงานที่อยากฝึกด้วยกัน ลองคุยวิดีโอคอลสั้น ๆ 10–15 นาที จดคำที่พูดไม่ออก แล้วหาวิธีพูดแทน |
| สัปดาห์ที่ 4 | จำลองสถานการณ์จริง | ซ้อมนำเสนอหรือเล่าเรื่องสั้น ๆ 5–10 นาที ฝึกตอบคำถามด่วนแบบไม่เตรียมตัวล่วงหน้า ประเมินความมั่นใจของตัวเองก่อน–หลังเดือนแรก |
ถ้าคุณต้องการแผนระยะยาวกว่า 3 เดือน พร้อมตารางฝึกละเอียดและเทคนิคเสริม สามารถอ่านต่อในบทความ เรียนภาษาอังกฤษ ไม่มีพื้นฐานเลย ให้พูดได้ใน 3 เดือน ซึ่งเป็นคู่มือสำหรับผู้เริ่มต้นอย่างแท้จริงบนเว็บไซต์เดียวกัน
วิธีฝึกพูดที่ทำได้จริงในชีวิตประจำวัน
ฝึกคนเดียวแบบไม่ต้องพึ่งใคร
- พูดกับตัวเองเป็นภาษาอังกฤษ เช่น ระหว่างขับรถ หรือทำงานบ้าน เล่าให้ตัวเองฟังว่า “วันนี้ต้องทำอะไรบ้าง”
- เปลี่ยนสิ่งรอบตัวเป็นภาษาอังกฤษ ติดโพสต์อิทบนสิ่งของในบ้านด้วยคำศัพท์ง่าย ๆ
- ดูคลิปสั้นแล้วสรุปเป็นภาษาอังกฤษ เลือกคลิปที่ชอบ แล้วลองเล่าว่าเนื้อหาคืออะไรแบบง่าย ๆ
ใช้สื่อออนไลน์ให้เป็นประโยชน์
- เลือกช่องวิดีโอที่สอนประโยคสั้น ๆ ใช้ได้จริงแทนการท่องศัพท์เดี่ยว ๆ
- ใช้แอปบันทึกเสียงและแอปจดคำศัพท์เพื่อเก็บประโยคที่ใช้บ่อย
- ฝึกฟังพอดแคสต์ระดับง่ายวันละ 10–15 นาที
เรียนกับครูตัวต่อตัวผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์
ถ้าคุณรู้สึกว่า “ฉันพูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง” และอยากมีคนช่วยจับมือพาข้ามความกลัว การเรียนตัวต่อตัวกับครูที่ได้รับการฝึกอบรมเฉพาะทางจะช่วยให้กล้าพูดเร็วขึ้น ตัวอย่างเช่น แพลตฟอร์มอย่าง 51Talk Thailand ที่มีครูต่างชาติพร้อมใบรับรอง TESOL และออกแบบบทเรียนให้ผู้เรียนได้พูดตลอดคลาส ไม่ใช่แค่นั่งฟังอย่างเดียว
| รูปแบบการฝึก | จุดเด่น | เหมาะกับใคร |
|---|---|---|
| ฝึกด้วยตัวเอง | ยืดหยุ่น ไม่ต้องนัดเวลา ประหยัดค่าใช้จ่าย | คนที่มีวินัยพอสมควร และอยากเริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ ก่อน |
| คอร์สกลุ่มทั่วไป | มีเพื่อนร่วมฝึก ได้ฝึกบทบาทสมมติบ้าง | คนที่ต้องการบรรยากาศเรียนเป็นกลุ่ม |
| ตัวต่อตัวออนไลน์กับครู TESOL | ได้พูดตลอดคาบ เนื้อหาปรับตามจุดอ่อนของแต่ละคน | คนที่รู้สึกว่าพูดไม่เก่งเลย แต่อยากเห็นผลเร็วและชัดเจน |
หากสนใจดูตัวอย่างรูปแบบการเรียนตัวต่อตัวและวิธีเลือกคอร์สให้ตรงกับเป้าหมายการพูด สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่หน้า คอร์สเรียนพูดภาษาอังกฤษออนไลน์
เลือกครูและคอร์สอย่างไร ถ้ารู้สึกว่า “ฉันพูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง”
สำหรับคนที่ยังไม่มั่นใจในการพูด การเลือกครูและคอร์สที่เหมาะสมสำคัญมาก เพราะครูจะเป็นคนช่วยออกแบบเส้นทางการฝึกให้คุณ
สิ่งที่ควรดูเวลาเลือกครู
- มีใบรับรองการสอนภาษาอังกฤษ เช่น TESOL หรือเทียบเท่า เพื่อยืนยันว่าผ่านการอบรมด้านการสอน ไม่ใช่แค่พูดภาษาอังกฤษได้เท่านั้น
- มีประสบการณ์สอนผู้เริ่มต้น เพราะคนที่รู้สึกว่าพูดไม่เก่งต้องการครูที่เข้าใจความกลัวและรู้วิธีเริ่มจากพื้นฐาน
- สไตล์การสอนเป็นกันเอง ให้กำลังใจ โดยเฉพาะช่วงแรกที่ต้องกล้าพูดคำแรก
ตัวอย่างคอร์สที่ออกแบบเพื่อคนที่พูดไม่เก่ง
หลายแพลตฟอร์มออนไลน์ในปัจจุบันมีคอร์สที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับผู้ที่เริ่มจากศูนย์และรู้สึกว่า “ฉันพูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง” เช่น แผนฝึก 12 สัปดาห์ แผนฝึก 90 วัน หรือคอร์สแบบคุยโฟกัสการออกเสียง บนเว็บไซต์นี้เองก็มีบทความแนะแนวคอร์สพื้นฐานอย่าง รวมเนื้อหาที่เรียนภาษาอังกฤษสำหรับผู้เริ่มต้น ที่ช่วยให้เห็นภาพว่าควรเริ่มจากหัวข้อไหนก่อน
รายงาน English at Work ของ Cambridge English ซึ่งสำรวจนายจ้างกว่า 5,373 รายใน 38 ประเทศ ระบุว่ามากกว่าสองในสามของนายจ้างในประเทศที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการ เห็นว่าทักษะภาษาอังกฤษสำคัญต่อธุรกิจของตนอย่างมาก หมายความว่า เมื่อคุณลงทุนกับคอร์สที่ช่วยให้พูดได้จริง ก็เป็นการลงทุนกับโอกาสในอนาคตของตัวเองโดยตรง
กรณีศึกษาและผลลัพธ์จริง
กรณีที่ 1: พนักงานออฟฟิศที่เคยไม่กล้าพูดแม้แต่ประโยคเดียว
ผู้เรียนคนหนึ่งเริ่มต้นจากจุดที่บอกตัวเองทุกวันว่า “ฉันพูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง” ทำงานในบริษัทที่ต้องคุยกับคู่ค้าต่างชาติ แต่เลือกปล่อยให้เพื่อนเป็นคนพูดตลอด
หลังจากวางแผนฝึก 3 เดือน โดยใช้ตารางฝึกพูด 4 สัปดาห์ด้านบนเป็นโครง แล้วต่อด้วยคอร์สตัวต่อตัวสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ผลที่เกิดขึ้นคือ:
- เดือนแรก กล้าพูดแนะนำตัวเองและเล่าเรื่องงานสั้น ๆ ได้ 2–3 นาที
- เดือนที่สอง สามารถตอบคำถามลูกค้าต่างชาติในวิดีโอคอลแบบสด ๆ ได้โดยไม่ต้องจำทุกคำจากสคริปต์
- เดือนที่สาม ผ่านการนำเสนอเป็นภาษาอังกฤษครั้งแรกในที่ประชุมออนไลน์ 15 นาทีเต็ม
กรณีที่ 2: ผู้เรียนระดับพื้นฐานที่ใช้กิจกรรมกลุ่มช่วยฝึกพูด
งานวิจัยหนึ่งเกี่ยวกับการพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนมัธยมต้น โดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือ พบว่าคะแนนการพูดเพื่อการสื่อสารของผู้เรียนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหลังผ่านแผนการสอน 6 แผนต่อเนื่อง ผู้เรียนรู้สึกมั่นใจในการใช้ภาษาอังกฤษในห้องเรียนมากขึ้น
สิ่งที่น่าสนใจคือ เทคนิคที่ใช้ในงานวิจัย เช่น การทำงานกลุ่มเล็ก การใช้บทบาทสมมติ สามารถนำมาปรับใช้กับคอร์สออนไลน์ตัวต่อตัวได้เช่นกัน ครูสามารถจำลองสถานการณ์ใกล้เคียงกับชีวิตจริงของผู้เรียน เพื่อให้การฝึกพูดไม่รู้สึกไกลตัว
กรณีที่ 3: ผลสำรวจระดับโลกเกี่ยวกับภาษาอังกฤษในที่ทำงาน
รายงาน English at Work จาก Cambridge English ยังพบด้วยว่า ในหลายประเทศที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก นายจ้างเกือบ 70% ให้ความสำคัญกับทักษะภาษาอังกฤษเมื่อรับพนักงานใหม่ ข้อมูลนี้สะท้อนว่า การเปลี่ยนจากจุดที่คิดว่า “พูดไม่เก่ง” ไปสู่ระดับที่สื่อสารได้ ส่งผลกับโอกาสการทำงานและรายได้อย่างชัดเจน
จะรู้ได้ยังไงว่าตัวเองเริ่มเก่งขึ้นแล้ว
คนจำนวนมากฝึกไปสักพักแล้วรู้สึกว่าไม่พัฒนา ส่วนหนึ่งเพราะไม่ได้ “วัดผล” อย่างเป็นรูปธรรม ลองใช้วิธีต่อไปนี้เพื่อตรวจความคืบหน้าของคนที่เคยคิดว่า “ฉันพูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง”
- อัดเสียงทุกสัปดาห์ – เก็บไฟล์เสียงไว้ แล้วฟังเทียบสัปดาห์ที่ 1 กับสัปดาห์ที่ 4 คุณจะเห็นความต่างของความลื่นไหลและความมั่นใจ
- กำหนด “ภารกิจ” รายเดือน เช่น เดือนนี้ต้องกล้าพูดภาษาอังกฤษกับคนต่างชาติอย่างน้อย 1 ครั้ง
- ใช้แบบทดสอบวัดระดับ – สามารถลองทำแบบทดสอบออนไลน์จากองค์กรด้านภาษาที่น่าเชื่อถือเพื่อดูระดับโดยรวมเป็นระยะ ๆ

ข้อผิดพลาดที่ทำให้รู้สึกว่าพูดไม่เก่งอยู่ตลอด
นอกจากการลงมือฝึกแล้ว การหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดบางอย่างก็สำคัญไม่แพ้กัน โดยเฉพาะสำหรับคนที่เริ่มจากจุด “ฉันพูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง”
- รอให้ “พร้อมก่อน” ค่อยพูด – ความจริงคือไม่มีวันไหนที่รู้สึกพร้อม 100% ต้องเริ่มพูดตั้งแต่ยังไม่มั่นใจนี่แหละ
- เน้นจำแกรมมาร์ทุกกฎ แต่ไม่เคยเอาไปพูด – ความแม่นยำสำคัญ แต่สำหรับการสื่อสารในชีวิตจริง ความเข้าใจและความกล้าพูดสำคัญกว่า
- ฝึกหนักครั้งเดียวแล้วหายไปยาว ๆ – ฝึกวันละ 15 นาทีแต่ต่อเนื่อง มักได้ผลดีกว่าฝึกทีละ 3 ชั่วโมงเดือนละครั้ง
- เปรียบเทียบตัวเองกับเจ้าของภาษา – เป้าหมายของผู้ใหญ่ส่วนใหญ่คือ “สื่อสารรู้เรื่อง” ไม่ใช่ “พูดเหมือนเจ้าของภาษาเป๊ะทุกคำ”
สรุป: แผนเริ่มต้นสำหรับคนที่รู้สึกว่า “ฉันพูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง”
ถ้าคุณรู้สึกว่า “ฉันพูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง” ไม่ได้แปลว่าคุณไม่มีความสามารถ แต่มักแปลว่าคุณยังไม่ได้ฝึกพูดในรูปแบบที่เหมาะกับตัวเองเท่านั้น
- เริ่มจากเปลี่ยนมุมมองตัวเองเป็น “กำลังฝึกอยู่” แทนคำว่า “ไม่เก่ง”
- เลือกสถานการณ์ใกล้ตัว 2–3 แบบ แล้วสร้างชุดประโยคเอาตัวรอด 20 ประโยค
- ใช้เทคนิคเงาเสียง บันทึกเสียงตัวเอง และฝึกพูดทุกวัน แม้วันละไม่กี่นาที
- วางแผนฝึกทีละ 4 สัปดาห์ พร้อมตั้งเป้าหมายชัดเจนในแต่ละเดือน
- ถ้าต้องการขยับเร็วขึ้น ลองเรียนตัวต่อตัวกับครูที่มีใบรับรอง เช่น TESOL ผ่านแพลตฟอร์มที่เชื่อถือได้อย่าง 51Talk Thailand
เมื่อคุณให้เวลาตัวเองสม่ำเสมออย่างน้อย 2–3 เดือน ประโยคที่เคยทำให้รู้สึกกลัวอย่าง “พูดไม่ออก” หรือ “ฟังไม่รู้เรื่อง” จะเริ่มถูกแทนที่ด้วยประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่คุณพูดได้จริง ฟังได้จริง และมั่นใจมากขึ้นกว่าที่คิดไว้มาก
คำถามที่พบบ่อยสำหรับคนที่รู้สึกว่า “ฉันพูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง”
ถาม: ถ้าพูดไม่เก่งเลย ควรเริ่มจากอะไรวันแรก?
เริ่มจากการเขียนสิ่งที่อยากพูดในชีวิตจริงเป็นภาษาไทย แล้วแปลงเป็นภาษาอังกฤษ 5–10 ประโยค เน้นสถานการณ์เดียว เช่น การแนะนำตัว จากนั้นฝึกอ่านออกเสียงหน้ากระจกและอัดเสียงเก็บไว้ วันต่อ ๆ ไปค่อยเพิ่มประโยคใหม่ และเริ่มใช้เทคนิคเงาเสียงร่วมด้วย
ถาม: ไม่มีพื้นฐานเลย จะใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะพูดได้บ้าง?
จากประสบการณ์ของครูที่สอนผู้เริ่มต้น หากฝึกพูดอย่างสม่ำเสมอวันละ 20–30 นาที และมีคลาสตัวต่อตัวสัปดาห์ละ 2–3 ครั้ง ส่วนใหญ่จะเริ่มกล้าพูดคุยสนทนาสั้น ๆ ได้ภายในประมาณ 3 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความต่อเนื่องและการบ้านที่ทำระหว่างคลาสด้วย
ถาม: จำเป็นต้องเรียนกับเจ้าของภาษาไหมถึงจะพูดเก่ง?
ไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของภาษาเสมอไป สิ่งสำคัญคือครูต้องมีความรู้ด้านการสอน มีใบรับรองที่เกี่ยวข้อง เช่น TESOL และเน้นให้คุณได้พูดจริงในทุกคาบ ครูต่างชาติที่ผ่านการอบรมมาดี แม้จะไม่ใช่เจ้าของภาษา ก็สามารถช่วยให้คุณพัฒนาได้เร็วมากเช่นกัน
ถาม: ถ้าพูดติด ๆ ขัด ๆ ควรเน้นแก้สำเนียงหรือแกรมมาร์ก่อน?
ช่วงแรกให้เน้น “ความกล้าพูด” และ “การสื่อสารรู้เรื่อง” ก่อน สำเนียงและแกรมมาร์สามารถค่อย ๆ ปรับไปพร้อมกันได้ เมื่อเริ่มพูดได้ลื่นขึ้นแล้ว ค่อยจัดเวลาเฉพาะเพื่อฝึกออกเสียงและปรับประโยคให้เป็นธรรมชาติมากขึ้น
ถาม: มีวิธีไหนฝึกฟรีได้บ้าง ถ้าตอนนี้ยังไม่อยากจ่ายคอร์สใหญ่?
คุณสามารถใช้สื่อฟรี เช่น คลิปสอนภาษาอังกฤษ พอดแคสต์ เว็บไซต์บทความ และแพ็กเกจแบบฝึกหัดออนไลน์ บนเว็บไซต์นี้เองก็มีบทความรวบรวมคอร์สและสื่อฟรีไว้หลายแบบ เช่น คอร์สเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ฟรี ที่แนะนำทางเลือกสำหรับผู้ที่อยากเริ่มต้นแบบไม่เสียค่าใช้จ่ายก่อน
ถาม: ถ้ารู้สึกท้อ เพราะฝึกมานานแล้วยังพูดไม่คล่อง ควรทำอย่างไร?
ให้ลองกลับไปดูบันทึกเสียงหรือโน้ตเก่าของตัวเอง เพื่อเห็นว่าจริง ๆ แล้วคุณพัฒนาขึ้นแค่ไหน จากนั้นอาจปรับแผนฝึกใหม่ เช่น ลดเนื้อหาแต่เพิ่มความถี่ หรือเปลี่ยนครู–เปลี่ยนรูปแบบการเรียน ให้เหมาะกับสไตล์ของตัวเองมากขึ้น อย่าลืมให้เวลาตัวเองอย่างน้อย 2–3 เดือนกับแผนใหม่ก่อนจะตัดสินผลลัพธ์
เกี่ยวกับผู้เขียนและแนวทางการเรียนที่ใช้จริง
เนื้อหาในบทความนี้พัฒนาจากประสบการณ์สอนภาษาอังกฤษพื้นฐานให้ผู้เรียนที่เริ่มจากระดับ 0 มากกว่า 10 ปี ทั้งในรูปแบบตัวต่อตัวและออนไลน์ ร่วมกับข้อมูลจากรายงานวิจัยด้านการสื่อสารภาษาอังกฤษ นโยบายการสอนภาษาอังกฤษจากหน่วยงานรัฐ และการทำงานร่วมกับครูต่างชาติที่ได้รับใบรับรอง TESOL บนแพลตฟอร์มเรียนออนไลน์อย่าง 51Talk Thailand
ทุกคำแนะนำถูกออกแบบให้ผู้เรียนที่เคยคิดว่า “พูดไม่เก่ง” สามารถนำไปใช้ได้จริง โดยเน้นการลงมือทำทีละก้าว การสังเกตพัฒนาการของตัวเอง และการเลือกแหล่งเรียนรู้ที่เชื่อถือได้ ผลลัพธ์อาจแตกต่างกันไปตามเวลาและความสม่ำเสมอของแต่ละคน
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- EF English Proficiency Index 2025 – รายงานคะแนนความสามารถภาษาอังกฤษและอันดับของประเทศ ดูข้อมูล EF EPI
- Cambridge English & QS. English at Work: Global analysis of language skills in the workplace. รายงานฉบับสรุป
- กระทรวงศึกษาธิการ – นโยบายการปฏิรูปการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ และแนวปฏิบัติในการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ เอกสารแนวนโยบาย
- งานวิจัยการพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร โดยใช้เทคนิคการเรียนรู้แบบร่วมมือในระดับมัธยมศึกษา รายงานวิจัยฉบับเต็ม
ข้อควรทราบ
แผนการฝึกและกรณีศึกษาที่ปรากฏในบทความนี้เป็นตัวอย่างจากประสบการณ์การสอนและข้อมูลที่สังเคราะห์จากแหล่งต่าง ๆ ผลลัพธ์ของแต่ละคนอาจแตกต่างกันไปตามเวลา ความถี่ในการฝึก และความตั้งใจของผู้เรียน ผู้อ่านควรปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของตนเอง และตรวจสอบข้อมูลจากแหล่งอ้างอิงเพิ่มเติมตามความเหมาะสม









